รีวิว JBL Authentics Series เมื่อพูดถึงแบรนด์ JBL หลายๆ คนคงนึกถึงลำโพงสีสันสดใสพร้อมไฟ มุ่งเป้าไปที่วัยรุ่นหรือผู้ใช้ที่ต้องการลำโพงที่มีบุคลิกสนุกสนาน แต่ถ้าคุณเล่นเครื่องเสียงมาเป็นเวลานานจะรู้จัก JBL มาตั้งแต่สมัยที่เป็นลำโพงในบ้านโดยเฉพาะ JBL L100 ลำโพงประจำบ้านยอดนิยมจาก ยุค 70 ที่เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ JBL Authentics ลำโพงไฮเทคที่มีกลิ่นอายความคลาสสิกที่เราจะรีวิวร่วมกับเครื่องเล่นแผ่นเสียง JBL Spinner BT นี้!
รีวิว JBL Authentics Series ลำโพงสุดคลาสสิกต่อ Wi-Fi พร้อมเครื่องเล่นแผ่น
รีวิว JBL Authentics Series เริ่มจาก JBL Authentics กันก่อน โดยออกมาทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ รุ่นน้องเล็ก JBL Authentics 200, รุ่นพี่กลาง JBL Authentics 300 และรุ่นพี่รุ่นใหญ่ JBL Authentics 500 โดยทั้ง 3 รุ่นมีพื้นฐานมาจากดีไซน์ของ JBL L100 จึงมีหน้ากากลำโพงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การออกแบบปุ่มยกขึ้น เช่นเดียวกับลูกเต๋าที่เรียกว่า Quadrex (ควอเดร็กซ์) คนที่ใช้ลำโพง JBL มาตั้งแต่ยุค 70 จะรู้สึกเหมือนเพื่อนเก่าและคุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง แถมมีกรอบสีทองเหลืองขอบดูสวยย้อนยุคแต่ดีไซน์ก็ถือเป็นสิ่งเดียวที่คลาสสิค ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับลำโพงชุดนี้เป็นเทคโนโลยีชั้นสูง! ทั้งสามรุ่นนี้สามารถเชื่อมต่อกับ Bluetooth ได้ แต่เป็นลำโพงอินเทอร์เน็ตด้วย ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi หรือสาย LAN ได้โดยตรงที่ด้านหลังของลำโพง
ซึ่ง JBL Authentics สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ด้วยตัวเอง ทำให้คุณภาพเสียงดีกว่าลำโพง Bluetooth มาก เนื่องจากลำโพงจะพูดคุยกับเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการโดยตรง เช่น Spotify หรือ Tidal เพื่อส่งไฟล์เพลงไปเล่นบนลำโพงโดยตรง ไม่เหมือนกับลำโพง Bluetooth ที่ผู้ให้บริการส่งเพลงไปยังสมาร์ทโฟนของคุณ จากนั้นสมาร์ทโฟนจะใช้ Codec เพื่อบีบอัดเสียงอีกครั้งเพื่อส่งไปยังลำโพง คุณภาพเสียงจึงลดลง ทั้งสามรุ่นรองรับ Spotify Connect, Tidal Connect และ AirPlay 2
และข้อดีอีกอย่างของลำโพง Wi-Fi ก็คือสมาร์ทโฟนของคุณทำหน้าที่เป็นรีโมทในการเปิดเพลงเท่านั้น เสียงโทรศัพท์ดังหรือเสียงเตือนสาย มันจะไม่ดังที่ลำโพง ที่สำคัญหลังจากเล่นเพลงผ่าน Wi-Fi แล้ว คุณจะนำโทรศัพท์มือถือออกจากบ้าน ลำโพงยังคงเปิดเพลงอยู่ เพลงไม่มีหยุด หรือเสียงกระตุกเหมือนลำโพงบลูทูธเพราะเพลงมาจากอินเตอร์เน็ตโดยตรง ไม่ใช่จากโทรศัพท์มือถือ แม้ว่าฉันจะปิดโทรศัพท์ แต่เพลงก็ยังเล่นอยู่
ลำโพงแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันเพียง 2 สิ่งเท่านั้น คือ ลักษณะเสียง ด้วยแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว JBL Authentics 300 จึงเป็นรุ่นเดียวที่มีแบตเตอรี่ในตัวจึงมีที่จับสำหรับใช้งานภายนอกโดยไม่ต้องเสียบปลั๊กนานถึง 8 ชั่วโมง JBL Authentics 200 และ 500 เป็นลำโพงประจำบ้าน ต้องเสียบปลั๊กเพื่อใช้งานเท่านั้น
สเปกด้านเสียง
แล้วลำโพง 3 ตัวนี้มี Spec เสียงต่างกันอย่างไร? เริ่มต้นด้วย JBL Authentics 200 ซึ่งมีขนาดเล็กไปหน่อย จึงมีลำโพงเสียงแหลม 2 ตัวและวูฟเฟอร์ 1 ตัวพร้อมพาสซีฟเรดิเอเตอร์ 90 W เนื่องจากมีขนาดเล็ก ลำโพงจึงเล็ก เสียงจึงไม่แข็งแรง มากพอๆ กับ JBL Authentics 300 ซึ่งถึงแม้จะมีลำโพงถึง 3 ตัวที่มี Passive Radio ตัวเดียวกันแต่ใช้ลำโพงที่ใหญ่กว่า ดังนั้นจึงให้พลังเสียง 100W
โดยส่วนตัวแล้ว JBL Authentics 500 ประกอบด้วยลำโพงเสียงสูง 3 ตัว ลำโพงเสียงกลาง 3 ตัว และลำโพงโทนเสียงต่ำ 1 ตัว โดยรวมแล้วมีลำโพงถึง 7 ตัว โดยไม่ต้องพึ่ง Passive Radiator ซึ่งจะให้เสียงที่กว้างขวาง ให้กำลังแรงถึง 270W แม้ห้องใหญ่ก็เอาอยู่
- รีวิวเสียงตัวน้อง JBL Authentics 200 ก่อน เป็นเสียงฟังเพลงเพลิน ๆ แบบไม่ได้มีเบสเยอะมาก เหมาะสำหรับห้องขนาดไม่กว้างนัก
- ส่วนตัวกลาง JBL Authentics 300 จะให้เสียงที่หนาหนักแน่นขึ้น ว่าลองเร่งเบสสักนิดเพลงจะกลมกล่อมขึ้น
- และตัวพี่ JBL Authentics 500 อันนี้ต้องเล่ายาวหน่อย เสียงของลำโพงตัวนี้จะให้เสียงกว้างขวางที่สุด เบสหนักแน่นที่สุดเพราะมีดอกลำโพงเบสแยกออกมา และมันเป็นลำโพงรุ่นเดียวที่รองรับเสียงในระบบ Dolby Atmos มันถึงมีดอกลำโพงมากถึง 7 ดอกเพื่อจำลองมิติเสียงที่กว้างขึ้น ถ้าคุณเปิดเพลงที่บันทึกแบบ Dolby Atmos ผ่านบริการอย่าง Tidal ก็จะรู้สึกว่าเสียงกว้างขวางขึ้นมาก เหมือนเพลงมาอยู่โอบล้อมรอบตัว ก็เป็นลำโพงที่ให้ประสบการณ์การฟังแตกต่างจากลำโพงทั่วไป ต้องลองฟังดูว่าคุณชอบมิติของ Dolby Atmos ไหม
โดยรวมแล้วเสียงจาก JBL Authentics ทั้ง 3 รุ่นให้ความรู้สึกย้อนยุคครับ คือเสียงไม่คม. รายละเอียดไม่พราว. แต่น้ำเสียงร้องหวานโดดเด่น ฟังแล้วสร้างความอบอุ่นให้กับบ้านของคุณเหมือนเครื่องเสียงสเตอริโอสมัยก่อน และแนะนำว่าพื้นผิวที่วางลำโพงเป็นสิ่งสำคัญเพราะลำโพงทั้ง 3 รุ่นจะมีเสียงเบสที่กระทบพื้นด้วย หากขาตั้งไม่มั่นคงก็จะสั่นสะเทือน จนกระทั่งเกิดเสียงอันไม่พึงประสงค์ขึ้น จบเรื่องเสียง มาดูสิ่งที่ลำโพง 3 ตัวนี้มีเหมือนกัน: ตัวควบคุมลำโพงตัวบน มันเป็นหน้าปัดดิจิตอล เวลาเลี้ยวจะมีไฟมาแบบนี้ หากเราเพิ่มระดับเสียงจากโทรศัพท์มือถือ ตัวแสดงระดับเสียงก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย เราจึงไม่ต้องเดินไปหน้าเครื่องตลอดเวลาเพื่อเลี้ยว คุณยังสามารถปรับ EQ เพื่อเพิ่มเสียงเบสหรือเสียงแหลมจากปุ่มหมุนอีกสองปุ่มนี้ได้ ซึ่งจะปรากฏในแอป JBL One ด้วย หรือในทางกลับกันเราสามารถปรับ EQ 3 แบนด์ได้จากแอพแล้วนำมาขึ้นที่ด้านหน้าเครื่อง ด้วย
ส่วนปุ่มบลูทูธอันนี้ก็ใช่เลย กดเพื่อเชื่อมต่อ Bluetooth แต่หากเป็นไปได้ เราแนะนำให้เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi เพื่อให้ได้เสียงที่ดีที่สุด ส่วนที่พิเศษคือปุ่มรูปหัวใจที่เรียกว่าปุ่ม Moment ซึ่งเราต้องตั้งค่าฟังก์ชั่นของปุ่มนี้จากแอพ JBL One ก่อน โดยระบุว่าเมื่อกดปุ่มนี้จะเล่นเพลงไหนจาก Playlist ไหนเล่นได้นานจน จบเพลย์ลิสต์หรือเล่นได้กี่นาที? แล้วมันเล่นดังขนาดไหนล่ะ? เพื่อให้ปุ่มนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเพลงโปรดในช่วงเวลาที่คุณชื่นชอบ กดปุ่มเดียวเพื่อสร้างบรรยากาศที่ตั้งไว้ล่วงหน้าทันที
แต่ปุ่ม Moment นี้ไม่รองรับ Spotify ใช้ได้กับเพลย์ลิสต์จาก Tidal, Qobuz, Amazon Music, Calm Radio, Napster, TuneIn และ iHeartRadio เท่านั้น และเราสามารถตั้งค่าบริการเหล่านี้ให้เล่นโดยตรงจากแอพ JBL One ไปยังลำโพงได้ คุณไม่จำเป็นต้องเปิดแอปแยกกัน และอะไรคือเทคโนโลยีขั้นสูงของลำโพงทั้ง 3 ตัว? นอกจากนี้ยังมีระบบ Automatic Self Tuning ซึ่งหมายความว่าลำโพงจะใช้ไมโครโฟนในตัวเพื่อฟังเสียงที่สะท้อนกลับเพื่อปรับลักษณะเสียงให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่วางไว้มากที่สุด ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องปรับ EQ ด้วยตัวเองเสมอไป เพราะลำโพงจะปรับเสียงอัตโนมัติเช่นกัน
เมื่อลำโพงมีไมโครโฟนและเชื่อมต่อกับ Wifi ก็สามารถเรียกใช้ผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Google Assistant หรือ Amazon Alexa ซึ่งสามารถเปิดใช้งานทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ สลับไปมาระหว่าง 2 บริษัทได้ แต่ในไทยเราน่าจะเน้นใช้ Google Assistant มากกว่า หากบ้านของคุณติดตั้งระบบ IoT คุณสามารถใช้เสียงของคุณกับ JBL Authentics เพื่อเปิดและปิดไฟ พัดลม และเครื่องปรับอากาศ เพราะเป็นการสั่งซื้อโดยตรงกับ Google หรือ Amazon แต่ถ้าคุณกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวก็จะแอบฟังเสียงของคุณอยู่เสมอ ด้านหลังตัวเครื่องมีสวิตช์ปิดไมโครโฟน แต่ถ้าคุณปิดไมโครโฟน คุณจะไม่สามารถโทรหาผู้ช่วยได้และฟังก์ชั่น Automatic Self Tuning ก็จะไม่ทำงานเช่นกัน เพราะผู้พูดไม่ได้ยินอะไรเลย สุดท้ายนี้ฟังก์ชันที่เครื่องเล่นเสียงต้องการอย่าง Multiroom ก็มีอยู่ใน JBL Authentics ทุกรุ่นเช่นกัน นั่นคือเราสามารถเล่นเพลงเดียวกันบนลำโพงหลายตัวในหลาย ๆ ห้องพร้อมกันผ่าน Wi-Fi รีวิว JBL Authentics Series
เพื่อสาธิตการใช้ iPhone และต้องการใช้ AirPlay 2 เพื่อสร้าง Multiroom เพียงแค่แคสต์เพลงผ่านระบบ AirPlay แล้วเลือกลำโพงหลายตัวที่จะส่งสัญญาณเสียงพร้อมกัน ตอนนี้ลำโพงทั่วทั้งบ้านก็พร้อมที่จะเล่นเพลงเดียวกันแล้ว สร้างบรรยากาศเดียวกันทั่วทั้งบ้าน หรือหากคุณเป็นผู้ใช้ Android ก็ตั้งค่าผ่านแอป Google Home เพื่อใช้ผ่าน Chromecast ได้ ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะลำโพง JBL แต่สามารถเชื่อมต่อกับลำโพงตัวใดก็ได้ที่รองรับ AirPlay 2, Chromecast หรือ Alexa Multi- รูมมิวสิค.